พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินี เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระราชทานพระวโรกาสให้นายกฯ ครม. ผู้นำศาสนา องค์กรต่างๆ รวมถึงพสกนิกรจากทั่วสารทิศเฝ้าฯถวายพระพรชัยมงคล ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 เสียงแซ่ซ้อง “ทรงพระเจริญ” ดังกึกก้องพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ในการนี้เสด็จออกท้องพระโรงพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ให้ทูตานุทูตและกงสุลต่างประเทศเฝ้าถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสเดียวกันด้วย กรมป่าไม้แจกต้นรวงผึ้ง 1,010 ต้นให้ ปชช.ปลูกเฉลิมพระเกียรติ
เมื่อเวลา 16.53 น.วันที่ 6 พฤษภาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง เข้าทางประตูวิเศษไชยศรี ทหารกองเกียรติยศถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
การนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าทีปังกร รัศมีโชติ มหาวชิโรตตมางกูร สิริวิบูลยราชกุมาร โดยเสด็จด้วย
ผู้นำศาสนาเฝ้าฯถวายพระพรร.10
รถยนต์พระที่นั่งเทียบที่หลังพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จขึ้นท้องพระโรงพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท การนี้ พระอนุวงศ์ และองคมนตรี เฝ้าฯรับเสด็จ จากนั้นพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กราบบังคมทูลเบิก นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามและผู้แทนคณะพาณิชย์ ได้แก่ หอการค้าไทย-จีน หอการค้าอินเดีย – ไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล ทางทิศใต้
จากนั้นนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กราบบังคมทูลเบิก ผู้แทนคณะบุคคลศาสนาต่างๆ ได้แก่ ผู้นำคณะโรมันคาทอลิก พระคาร์ดินัล เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช กับคณะได้แก่ อาร์ชบิช็อป จำเนียร สันติสุขนิรันดร์, บิช็อป ชูศักดิ์ สิริสุทธิ์, บิช็อป วีระ อาภรณ์รัตน์ และบิช็อป วุฒิเลิศ แห่ล้อม, ผู้นำ คริสตจักร ศาสนาจารย์ ดร. ทวีศักดิ์ มหชวโรจน์ กับคณะ ได้แก่ ศาสนาจารย์ รุ่งทิวา มาโม, ศาสนาจารย์ มาโนช แจ้งมุข, ศาสนาจารย์สมเกียรติ วรรณศรี ,ศาสนาจารย์ นิรัติศัย อ้ายปั๋น ผู้นำคณะพราหมณ์-ฮินดู นายสุขิต นารูลา และคณะได้แก่ นางจันเดอร์มาลา ศิวะศรีอำไพ, นายอมร กุมาร, นายธำรงค์เดช อินทนิเวศน์ และนายสุมิตร กุมาร และนายนาริน นารูลา ผู้นำคณะไทย-ซิกข์ ประกอบด้วย นายดาร์ซันซิงห์ นารัง, นายสุเทพ ซิงห์, นายกิตติพันธ์ ใจดี และนายอิน นฤหล้า
เสด็จสีหบัญชรแซ่ซ้องทรงพระเจริญกึกก้อง
เวลา 16.59 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออก ณ สีหบัญชร พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ชาวพนักงานประโคมมโหระทึก แตร ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติฝ่ายละ 21 นัด เมื่อสุดเสียงประโคมแล้ว พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพแล้ว กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลแทนราษฎรทุกหมู่เหล่า จบ ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี
ร.10ทรงขอบใจในคำอวยพร
จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสตอบ ความว่า ข้าพเจ้าและพระราชินี รู้สึกยินดีและปลื้มใจมาก ที่ได้เห็นประชาชนทั้งหลาย มีไมตรีจิตพร้อมเพรียงกันมาร่วมแสดงความปรารถนาดี ในวาระบรมราชาภิเษกของข้าพเจ้าครั้งนี้ ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลาย ผู้มาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ เพื่ออวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้า ด้วยน้ำใจไมตรี และความปรารถนาดีอย่างจริงใจนั้น เป็นที่จับตา จับใจ และทำให้ข้าพเจ้าอิ่มใจอย่างยิ่ง ขอให้ความพร้อมเพรียงของท่านทั้งหลาย ในการแสดงไมตรีจิตแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้ จงเป็นนิมิตหมายอันดี ที่ทุกคน ทุกฝ่าย จะพร้อมกันบำเพ็ญกรณียกิจ เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติของเราต่อไป ขอขอบใจในคำอำนวยพร ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในนามของทุกคน และขอสนองพรให้ทุกท่าน มีความผาสุข สวัสดี พร้อมทั้งความสำเร็จ ในสิ่งอันพึงปรารถนาจงทั่วกัน
นายกฯนำกล่าวถวายพระพรทรงพระเจริญ
จบพระราชดำรัส ชาวพนักงานประโคมมโหระทึก แตร ทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ ถวายความเคารพ วงดุริยางค์บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการจัดงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก กล่าวนำถวายพระพร “ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ” เสียงดังกึกก้องไปทั่วพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท พร้อมโบกธงชาติและธงสัญลักษณ์พระปรมาภิเธยปลิวไสวอย่างพร้อมเพรียง
ภายหลังจบพิธีถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จลงจากพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท เสด็จฯ ประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เสด็จฯ ไปประทับพักพระราชอิริยาบถ ณ พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ
สำหรับพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ตั้งอยู่บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง ระหว่างประตูเทวาพิทักษ์กับประตูศักดิ์ไชยสิทธิ์ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 เพื่อเป็นที่ประทับทอดพระเนตรขบวนแห่ในพระราชพิธีสนานใหญ่ และการฝึกช้าง ลักษณะเป็นพลับพลาโถง ทำด้วยเครื่องไม้ มีอัฒจันทร์ขึ้นลงทางทิศเหนือและทิศใต้ ต่อมาในรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ก่อผนังอิฐฉาบปูนต่อเติมหลังคาเป็นยอดปราสาท และในปี พ.ศ. 2492 ได้มีการต่อเติมสร้างเฉลียงไม้ให้เป็นหน้าต่างของพระที่นั่ง หรือสีหบัญชร บริเวณฝั่งด้านตะวันออก
คณะทูตานุทูตร่วมถวายพระพร
ต่อมาเวลา 17.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯไปยังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระราชทมนพระราชวโรกาศให้คณะทูตานุทูตถวายพระพร โดยนางฉั่ว ซิ่ว ซาน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ประจำประเทศไทยในฐานะคณบดีแห่งคณะทูตานุทูต และกงสุลต่างประเทศประจำประเทศไทย และผู้แทนองค์การค้าระหว่างประเทศในประเทศไทย กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคล จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯกลับ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานเลี้ยงรับรอง ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร
รบ.ถวายสดุดีในหลวง
พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ถวายสดุดีแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ที่ทรงมีพระวิริยะอุตสาหะในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงฉลองพระองค์ครุยที่ทั้งหนักและหนา ประทับบนพระที่นั่งที่แคบและโคลงไปมาตลอดหลายชั่วโมง เช่นเดียวกับพระขัตติยะมานะของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี ที่ทรงร่วมขบวนทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ตลอดเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน
ทรงมีพระวิริยะ-สืบทอดราชประเพณี
“นายกฯ ระบุว่า แม้ดูเหมือนระยะทางจะไม่ไกล แต่การเดินเท้าต้องใช้เวลาและความอดทน พระองค์ท่านและทุกๆพระองค์มิได้ทรงทำเพื่อพระองค์เอง แต่ทรงธำรงไว้ซึ่งโบราณราชประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีต ทรงแสดงพระองค์เป็นต้นแบบของการรักษาคุณค่าของขนบธรรมเนียมที่มีอารยะและมีเอกลักษณ์ที่งดงามของโลก โดยสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นสถาบันหลักและเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ” พล.ท.วีรชนกล่าว และว่า นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังชื่นชมและขอบคุณข้าราชบริพาร เจ้าหน้าที่พลเรือน ตำรวจ ทหาร ประชาชน จิตอาสาทุกภาคส่วน ที่อุทิศกำลังกายและใจ เพื่อให้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ตั้งแต่เบื้องต้น เบื้องกลาง เบื้องปลาย สำเร็จลุล่วง สง่างามและสมพระเกียรติ
ปชช.ต่อแถวเข้า6จุดคัดกรองยาวเป็นกิโล
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ที่จุดคัดกรองรอบพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ ก่อนเข้าพื้นที่สนามหลวงว่า มีประชาชนจากทั่วสารทิศสวมเสื้อสีเหลืองมารอเข้าแถว เพื่อผ่านจุดคัดกรอง เพื่อจับจองพื้นที่รับเสด็จถวายพระพรชัยมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการเสด็จออก ณ สีหบัญชร เวลา 16.30 น.ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 โดยเจ้าหน้าที่เปิดให้เข้าพื้นที่จัดงาน เวลา 12.00 น. มีประชาชนยืนต่อแถวยาวกว่า 2 กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนจัด พร้อมถือธงชาติไทย ธงตราสัญลักษณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษก และพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ปลื้มรับแจกเข็มกลัด-ใช้กระบอกน้ำ
ขณะที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดทำเข็มกลัดที่ระลึกตราสัญลักษณ์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พิมพ์ข้อความ “เสด็จออกสีหบัญชร 6 พฤษภาคม 2562” 100,000 เข็ม เพื่อมอบให้ประชาชนที่มารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออก ณ สีหบัญชร ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท ในจุดคัดกรอง 6 จุด ประกอบด้วย 1.บริเวณใต้สะพานพระปิ่นเกล้า 2.บริเวณพระแม่ธรณีบีบมวยผม 3.บริเวณท่าช้าง 4.บริเวณสะพานช้างโรงสี 5.บริเวณสะพานมอญ 6.บริเวณสะพานเจริญรัช เช่นเดียวกับ การประประปานครหลวง ได้จัดทำกระบอกน้ำที่ระลึก จำนวน 300,000 ใบ มาแจกให้ประชาชนที่มาร่วมงานนี้เช่นกัน
ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกจัดแถวให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีการจัดรถเมล์ ขสมก. มารับประชาชนในจุดดังกล่าว เพื่อแบ่งไปเข้าทางจุดคัดกรองสะพานพระปิ่นเกล้า พร้อมมีบริการน้ำดื่มจากกองบังคับการตำรวจจราจร มีหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่คอยดูแลประชาชน ที่มีทั้งผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
กลุ่มแรกปักหลักรอเฝ้าฯตั้งแต่ตี 5
เช่นเดียวกับ ที่จุดคัดกรองสะพานมอญ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด มีประชาชนทยอยเดินทางเข้ามาจุดคัดกรองกันจำนวนมาก หลายคนมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมและพักค้างแรมบริเวณใกล้เคียง เพื่อเดินทางมาถึงจุดคัดกรองเป็นคนแรกๆ ซึ่งแค่เพียงช่วงสาย ท้ายแถวยาวไปจนบรรจบกับจุดคัดกรองพระแม่ธรณีบีบมวยผม และมีประชาชนทยอยเดินทางมากันมาต่อเนื่อง โดยตลอดจุดคัดกรอง จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก ทั้งเจ้าหน้าที่พยาบาล จากสำนักงานอนามัย กรุงเทพมหานคร และจิตอาสา ที่คอยแจกยาดม พิมเสน ยาสามัญประจำบ้านต่างๆ ตลอดจนมีเครื่องปั๊มหัวใจ เครื่องวัดความดัน ไว้ในกรณีพบผู้ป่วยฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ตรงจุดคัดกรองยังมีเจ้าหน้าที่จัดเตรียมอาหารพระราชทาน และเครื่องดื่ม คอยแจกจ่ายให้ประชาชนที่มาร่วมงานด้วย ทั้งนี้ ประชาชนหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อดทนได้แม้แดดจะแรงขึ้น อากาศร้อนอบด้าว เพราะที่เดินทางมาวันนี้ เพื่อต้องการชื่นชมพระบารมี และอยู่ร่วมในนาทีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ที่สำคัญอยากเห็นพระองค์ท่านสักครั้งในชีวิต แค่นี้ก็ทำให้หายเหนื่อย
ส่วนบริเวณด้านหน้าพระที่นั่งสุทไธสรรย์ปราสาท เพียงแค่ช่วงเช้า มีพสกนิกรจากทั่วสารทิศหลั่งไหลมาเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้ายู่หัวจนเต็มพื้นที่ สอบถามชาวบ้านกลุ่มแรกๆที่มาปักหลักจองพื้นที่ทราบว่า มาตั้งแต่ตี 5 เพื่อได้นั่งแถวหน้า จะได้ชื่นชมพระบารมีใกล้ชิด กระทั่งช่วงบ่ายพื้นที่บริเวณพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาทก็เนืองแน่นไปด้วยพสกนิกรและคับคั่งยาวไปถึงหน้าวังสราญรมย์และตลอดถนนสนามไชย แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวแต่ทุกคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสและใจจดใจจ่อที่ได้ได้เฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
กรมป่าไม้แจกต้นรวงผึ้ง1,010ต้น
ด้านนายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) เปิดเผยว่า กรมป่าไม้ทำโครงการ และกิจกรรมปลูกต้นไม้ และปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก โดยก่อนหน้านี้ได้เพาะกล้าไม้ต้นรวงผึ้ง ไม้ประจำรัชกาลที่ 10 ประมาณ 4,000 ต้นกล้า และกล้าไม้มีค่าอื่นๆ เช่น ไม้ประดู่ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้สัก ไม้แดง ไม้พะยูง ประมาณ 50 ล้านกล้า สำหรับแจกจ่ายประชาชนทั่วประเทศ และวันที่ 18 พฤษภาคม กรมป่าไม้จะจัดงาน รวมใจไทยปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ ที่บริเวณสวนวชิรเบญจทัศน์ เขตจตุจักร กรุงเทพ และแจกกล้าไม้ ซึ่งถือเป็น กล้าไม้แห่งความจงรักภักดี ให้ประชาชนนำกลับไปปลูกที่บ้าน เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย คือ 10 ล้านต้น ทั่วประเทศ
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานต้นรวงผึ้ง 77 ต้น ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดไปปลูก เพื่อเบิกนำ และวันเดียวกันนี้ เวลา 18.00-19.00 น. กรมป่าไม้เตรียมกล้าไม้ต้นรวงผึ้งเอาไว้ 1,010 ต้น ไว้สำหรับแจกประชาชนทั่วไป ที่สนามหลวงให้นำไปปลูกในที่ดินของตนเอง แต่การปลูกครั้งนี้จะไม่ใช่การปลูกแล้วปลูกเลยเหมือนที่ผ่านมา เพราะก่อนรับกล้าไม้ ต้องลงทะเบียนในแอพพลิเคชันว่าปลูกที่ไหนอย่างไร เพื่อจะเป็นสถิติบันทึก และระบุตำแหน่งเอาไว้ได้ว่า ปลูกไว้ได้กี่ต้นแล้ว โดยต้นรวงผึ้งที่กรมป่าไม้แจกในวันที่ 6 พฤษภาคมนี้จะห่ออยู่ในกาบมะพร้าว ประชาชนที่ได้รับไปสามารถนำไปลงดินปลูกได้เลย นอกจากต้นรวงผึ้งแล้ว ประชาชนสามารถลงทะเบียนขอรับได้ฟรีในพื้นที่ที่มีสถานีเพาะพันธุ์กล้าไม้ กรมป่าทุกจังหวัด ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป” อธิบดีกรมป่าไม้ กล่าว
สำหรับต้นรวงผึ้งนั้น เดิมเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ชอบขึ้นอยู่ตามริมน้ำ ในพื้นที่ป่าลุ่มต่ำ แต่ปัจจุบันพบที่ขึ้นอยู่ในป่าธรรมชาติ เฉพาะที่จ.นครสวรรค์ และสกลนคร เป็นไม้ที่ปลูกง่าย แข็งแรง แนะนำให้ปลูกลงดิน มากกว่าการปลูกในกระถาง หลังจากนี้กรมป่าไม้จะเพาะกล้าไม้ต้นรวงผึ้งสำหรับแจกจ่ายประชาชนเพิ่มขึ้น ขณะนี้มีต้นกล้าอยู่ในเรือนเพาะชำประมาณ 4 พันกล้า และจะขยายมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอแก่ความต้องการของประชาชน