(31 มี.ค. 63) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยล่าสุด พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 1 ราย ที่ อ.หัวหิน นับเป็นผู้ป่วยติดเชื้อรายที่ 12 ของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แล้ว
สำหรับผู้ป่วยติดเชื้อรายที่ 12 นี้ คือ นักท่องเที่ยวชายชาวอังกฤษ อายุ 51 ปี ซึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวที่ อ.หัวหิน ทั้งนี้พบประวัติเป็นเพื่อนกับผู้ป่วยติดเชื้อรายที่ 3 ซึ่งเป็นชายชาวอังกฤษ อายุ 60 ปี ที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ อ.หัวหิน เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2563 ก่อนมีอาการป่วย กระทั่งยืนยันตรวจพบเชื้อโควิด เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา ขณะนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชน มีอาการดีขึ้นและกำลังจะได้ออกจากโรงพยาบาลในวันนี้
ทั้งนี้เมื่อผู้ป่วยติดเชื้อรายที่ 12 ทราบว่าเพื่อนชาวอังกฤษติดเชื้อโควิด-19 จึงได้กักตัวเองอยู่ในห้อง เพื่อสังเกตอาการทันที กระทั่งเริ่มมีอาการป่วย ด้วยอาการไข้ต่ำๆ คัดจมูก น้ำมูกไหล เมื่อนับเวลาการสัมผัสเชื้อ กินเวลา 13 วัน ถึงเริ่มมีอาการ จึงเดินทางมาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 และยืนยันผลตรวจพบเชื้อโควิด19 ในวันนี้
โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ทีมควบคุมโรคสำนักงานสาธารณสุขประจวบคีรีขันธ์ และ สาธารณสุขอำเภอหัวหิน กำลังติดตามผู้สัมผัสโรคกับผู้ป่วยรายที่ 12 ซึ่งมีความเสี่ยงสูงคือ คนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ที่นำผู้ป่วยรายนี้มาส่งโรงพยาบาล เพื่อสอบสวนโรคและกักตัว 14 วัน ส่วนพนักงานโรงแรมและเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่พักอาศัยของนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษรายนี้มีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยง ทั้งหมดต้องกักตัว 14 วัน เช่นเดียวกัน
สำหรับผู้ป่วยรายล่าสุดนี้ จะมีกลุ่มเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังน้อยกว่ารายอื่น เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ป่วยรายที่ 12 นี้ได้เก็บตัวอยู่แต่ในที่พักทันทีที่รู้ว่าเพื่อนป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ผ่านมาไม่ออกไปไหน ใช้วิธีสั่งอาหารมารับประทานที่ห้อง และทำความสะอาดห้องด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อบุคคลอื่นไปได้มาก ขณะที่มาตรฐานด้านสาธารณสุขของโรงแรมดังกล่าวถือว่าทำได้ดีมาก พนักงานใส่หน้ากากอนามัยทุกคน วัดไข้พนักงานทุกวัน และมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อตลอดเวลา
นายแพทย์สุริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้มีผู้ป่วยชาวมุสลิม เสียชีวิต 1 ราย บนรถไฟขบวนรถด่วนที่ 37 บางซื่อ-สุไหงโกลก โบกี้ที่ 4 เลขที่นั่ง 28 เมื่อเวลา 00.30 น. วันที่ 31 มีนาคม ผู้เสียชีวิตคือ นายอนันต์ อายุ 57 ปี ชาว จ.นราธิวาส เดินทางกลับจากทำธุรกิจที่ประเทศปากีสถานซึ่งเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2563 และเดินทางต่อที่สถานีรถไฟบางซื่อ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาด
ทั้งนี้ระหว่างเดินทางถึงสถานีรถไฟหัวหิน มีอาการเป็นลม เพื่อสอบประวัติพบว่าเป็นเบาหวาน กระทั่งนายสถานีมาพบอีกครั้ง ผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วที่สถานีรถไฟทับสะแก จึงแจ้งโรงพยาบาลเมื่อเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 30 มีนาคม ทางทีมโรงพยาบาลทับสะแก ได้ลงพื้นที่เพื่อเก็บตัวอย่าง สารคัดหลั่งในโพรงจมูก ตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากนั้นนำร่างของผู้เสียชีวิตใส่ถุงซิปล็อก 3 ชั้น ก่อนจะประสานภรรยาที่ จ.นราธิวาส เพื่อดำเนินการต่อตามประกาศที่ท่านจุฬาราชมนตรีได้ประกาศว่า ให้ดำเนินการป้องกันการติดเชื้อโควิดสำหรับผู้เสียชีวิตที่สงสัยว่าติดเชื้อ ซึ่งทางญาติตัดสินใจประกอบพิธีทางศาสนาอิสลาม โดยนำร่างฝังที่ อ.ทับสะแก โดยขุดหลุมฝัง 2 เมตร มีการโรยปูนขาวหนึ่งครั้งก่อนนำร่างมาไว้กลบหลุมแล้วโรยปูนขาวอีกชั้น แล้วจึงกลบด้วยดินสูง 2 เมตรเหมือนเดิม
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวอย่างทั้งหมดเพื่อตรวจแล้วที่ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.สมุทรสงครามตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้สัมผัสเชื้อซึ่งเป็นผู้โดยสารร่วมตู้รถไฟ 40 กว่า คน ขณะนี้มีรายชื่อแล้ว รอผลแล็ปยืนยันเชื้อออกมาก่อน เพื่อประสานจังหวัดปลายทางติดตามต่อ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เสียชีวิตรายนี้ ยังไม่ได้ยืนยันการติดเชื้อโควิดแต่อย่างใด เพียงแต่สงสัยจึงดำเนินการตามมาตราการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคตามขั้นตอนเท่านั้น
ทั้งนี้ข้อมูลสถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด19 ในเขตพื้นที่ อ.หัวหิน ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563นั้น ผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 12 คน รักษาตัวอยู่ใน รพ. 10 คน เป็นโรงพยาบาล ในพื้นที่หัวหิน 8 ราย เข้าไปรักษา รพ.ในกรุงเทพฯ 2 ราย และรักษาหายกลับบ้านแล้วจำนวน 2 คน
ขณะที่บุคคลต้องเฝ้าระวังทั้งสิ้น 125 คน ครบกำหนดกักตัวเอง (จบการติดตาม) แล้ว 55 คน คงเหลือบุคคลต้องเฝ้าระวัง 70 คน ประกอบด้วยแรงงานผิดกฎหมายเกาหลีใต้ 5 คน บุคคลที่เดินทางมาจากประเทศหรือพื้นที่เสี่ยง 65 คน แยกเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ 60 คน คนไทย 5 คน โดยเดินมาจากยุโรป 48 คน เกาหลีใต้ 8 คน จีน 3 คน ฮ่องกง 3 คน ลาว 1 คน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ 1 คน ฟิลิปปินส์ 1 คน และ สหรัฐอเมริกา 4 คน โดยกลุ่มเสี่ยงทุกรายอยู่ในการติดตามดูแลของเจ้าหน้าที่ทีมควบคุมโรคอย่างใกล้ชิด