นักผจญเพลิงจากรัฐอินเดียนา กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืน หลังจากไปถอนเงินเช็คเยียวยาผู้ประสบภัยจากโควิด ก่อนจะพบว่ามียอดเงินคงเหลือในบัญชีมากกว่า 8.2 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 250 ล้านบาท
นายชาร์ลส คาลวิน นักผจญเพลิงในรัฐอินเดียนา กลายเป็นคนดังในพื้นที่ หลังจากภาพที่เขาโชว์สลิปเอทีเอ็มที่เพิ่งไปถอนเงินมา พบว่ามียอดเงินในบัญชีคงเหลือ 8.2 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 250 ล้านบาท ตามรายงานของเว็บไซต์ CNBC
นายคาลวิน บอกว่า ตอนแรกเขาไปกดเงินเพียงแค่ 200 ดอลลาร์ และรู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่าตนมียอดเงินคงเหลือในบัญชีระดับเศรษฐี จึงพยายามจะเช็คยอดเงินในบัญชีอีกครั้ง ก็ยังคงระดับ 8.2 ล้านดอลลาร์อยู่ดี ด้วยความกังวลใจเขานำใบเสร็จดังกล่าวไปปรึกษาเพื่อนร่วมงาน ซึ่งทุกคนก็ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
เขาจึงตัดสินใจไปถามเจ้าหน้าที่ที่ธนาคารในวันถัดไป ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ธนาคารก็ไม่พบความผิดปกติในบัญชีของนายคาลวิน แต่ก็ไม่ค่อยเชื่อนักว่านักผจญเพลิงคนนี้จะมีเงินติดบัญชีหลักล้านดอลลาร์ นายคาลวินก็ยืนกรานว่าต้องมีปัญหาที่ระบบอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ใช่คนร่ำรวยอะไรและมีรายได้แบบเดือนชนเดือน
ต่อมานายคาลวินจำเป็นต้องถอนเงินอีก 800 ดอลลาร์มาจ่ายค่าเช่าบ้าน ก็พบเงินในบัญชีกว่า 8 ล้านดอลลาร์เหมือนเดิม ด้วยความกังวลใจเขาได้ปรึกษาเพื่อนที่เป็นตำรวจท้องถิ่นอีกราย ซึ่งได้เตือนว่าอย่าแตะต้องเงินเหล่านั้นและให้ติดต่อธนาคารอีกครั้ง
จนกระทั่งวันจันทร์ที่ผ่านมา ชีวิตมหาเศรษฐีข้ามคืนของนายคาลวินก็จบลง เหลือไว้เป็นเช็คเยียวยาโควิดจากสรรพากรสหรัฐฯที่เข้าบัญชีมาช่วยชีวิตเขาได้พอดี ตามรายงานของ NBC Chicago และเมื่อสืบสาวราวเรื่องก็พบว่าปัญหามาจากตู้เอทีเอ็มที่เขาไปกดเงินในตอนแรกมีปัญหา
โดยนายคาลวินทิ้งท้ายไว้ว่า มันน่าเศร้าที่จู่คุณกลายเป็นเศรษฐีบนกระดาษและก็ถูกดึงกลับมาให้กลายเป็นคนถังแตกอย่างรวดเร็ว แต่เขาคิดว่าเมื่อคุณยากจนแล้ว คุณไม่มีทางจะไปไหนได้อีกนอกจากการทำชีวิตให้ดีขึ้นไปกว่านี้ และหวังว่าทุกคนบนโลกจะได้มีเงินในบัญชี 8.2 ล้านดอลลาร์แบบนี้บ้าง
ตอนนี้สรรพากรสหรัฐฯ เร่งส่งเช็คเยียวยาชาวอเมริกันสู้โควิด-19 ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งผู้มีคุณสมบัติจะต้องเป็นผู้เสียภาษีในปี 2018 และ 2019 โดยจะได้รับเช็คสูงสุด 1,200 ต่อคน สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 99,000 ดอลลาร์ต่อปี และ 2,400 ดอลลาร์ สำหรับคู่สมรสที่ยื่นภาษีด้วยกันและมีรายได้ต่ำกว่า 198,000 ดอลลาร์ต่อปี ส่วนครอบครัวที่มีบุตรอายุต่ำกว่า 16 ปี จะได้เงินช่วยเหลือเพิ่มอีกคนละ 500 ดอลลาร์